วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

หมู่เกาะมัลดีฟส์ รู้จักกันก่อนไปเที่ยวมัลดีฟส์ (Maldives)

 
 
                                                                          

หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives) เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากประเทศศรีลังกา ประมาณ 700 กิโลเมตร ทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ หมู่เกาะมัลดีฟส์เกิดขึ้นมาจากการทับถมของหินประการัง ซึ่งลักษณะทางภูมิศาสตร์จะเป็นเกาะเล็กๆ กระจัดกระจายประมาณ 1,192 เกาะ ซึ่งมีคนอยู่อาศัยอยู่ทั้งหมด 250 เกาะ โดยหมู่เกาะเล็กๆ นั้นจับกลุ่มกันอยู่เป็นรูปวงแหวนที่เรียกว่า อะตอล (Atoll) ซึ่งมีทั้งหมด 26 อะตอลประเทศมัลดีฟส์เป็นประเทศที่นับได้ว่ามีขนาดเล็กที่สุดในทวีปเอเชีย ทั้งในแง่ของจำนวนประชากรและขนาดพื้นที่ และยังถือเป็นประเทศที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลที่เตี้ยที่สุดในโลกอีกด้วย จุดที่สูงที่สุดแค่ประมาณ 2.3 เมตรจากนัำทะเล 

เดินทางไปยังไงล่ะ?

การเดินทางไปเที่ยวมัลดีฟส์ไม่ยากเลยค่ะแถมยังไม่ต้องขอวีซ่าให้ยุ่งยากด้วย ตอนนี้สายการบินหลักๆ จากกรุงเทพฯ ไปมัลดีฟส์ คือ
1) Bangkok Airways
2) Singapore Airlines
3) Srilankan Airlines
4) Malaysia Airlines
โดยสายการบินส่วนใหญ่จะมีการแวะต่อเครื่อง เวลาเดินทางโดยประมาณจากกรุงเทพฯ ก็เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง

การเดินทางภายในมัลดีฟส์

สนามบินนานาชาติของมัลดีฟส์จะตั้งอยู่บนเกาะในมาเล่ อะตอล (Male’) ซื่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของมัลดีฟนั่นก็คือ มาเล่ การเดินทางจากสนามบินไปยังเกาะต่างๆก็สามารถเลือกได้โดยการใช้ เรือด่วน (Speed boat) หรือ เครื่องบินน้ำ (Sea Plane) โดยดูจากแผนที่น่าจะพอได้ไอเดียว่า รีสอร์ทบนหมู่เกาะมัลดีฟส์นี่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมด ดังนั้นก็จะต้องวางแผนการเดินทางให้ดี เพราะเวลาการเดินทางอาจจะเริ่มจาก 20 นาทีถึงเกาะ หรือ เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว

ถึงแล้วทำอะไรในมัลดีฟส์ได้บ้าง?

นอกจากการพักผ่อนชิลล์ๆ ริมชายหาด ทอดสายตาออกไปในมหาสมุทรอันแสนใกลจากที่พักอันแสนจะรื่นรมย์ ซึมซับธรรมชาติให้ชุ่มปอดแล้ว กิจกรรมไฮไลท์ที่นี่ก็คือการชมประการัง ด้วยการดำน้ำไม่ว่าจะเป็น การดำน้ำบนผิวน้ำแบบ Snorkel Diving หรือ ดำน้ำลึกแบบ Scuba Diving ซึ่งจะเป็นหนึ่งในสุดยอดประสบการณ์ชีวิตของคนรักการท่องเที่ยวเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ดำน้ำว่ายน้ำไม่เป็นหรือไม่แข็งแรงก็ไม่ต้องเสียใจไปค่ะ เพราะมีกิจกรรมอื่นๆอีก (แล้วแต่รีสอร์ทที่พัก) เช่น นั่งเรือไปชมฝูงปลาโลมา หรือพายเรือแคนนู เล่นเรือใบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เรียกได้ว่าสิ่งที่รออยู่ในมัลดีฟส์ก็การพักผ่อนโดยการหลีกหนีความวุ่นวายและปล่อยใจให้หลงไปอยู่ในความงามของธรรมชาติและท้องทะเลอย่างแท้จริง
หมู่เกาะมัลดีฟส์

สภาพอากาศที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives) 

มัลดีฟส์มีสภาพอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปีเนื่องจากตำแหน่งตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 29-32 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามฤดูในมัลดีฟส์แบ่งได้เป็น 2 ช่วงคือ ช่วงลมตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างเดือน พ.ย. ถึง เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า ร้อนที่สุดก็เห็นจะเป็นเดือนเม.ย. คล้ายๆบ้านเรา และช่วงลมตะวันตกเฉียงใต้คือเดือน พ.ค. ถึง ก.ย. จะมีฝนตก แต่จะตกแบบสั้นๆแค่ 15-30 นาทีแล้วลมก็จะพัดเอาเมฆฝนผ่านพ้นไป สภาพทะเลจึงสามารถเที่ยวได้ทั้งปีค่ะ

ประชากรที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives) 

ประชากรของมัลดีฟส์มีประมาณ 270,000 คน และประชากรส่วนใหญ่ ประมาณ 75,000 คน จะอาศัยอยู่ที่มาเล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ รองลงมาเป็นเกาะ Hithadhoo ใน Addu อะตอล 9,640 คน, เกาะ Fuamulah 7,243 คนและเกาะ Kulhudhufushi ใน Haa Dhaalu อะตอล 6,354 คน ตามลำดับ บางเกาะอาจมีประชากรไม่ถึง 200 คน ส่วนคนท้องถิ่นเดิมคือชาวมัลดิเวียน (Maldivian) มีประวัติการเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากว่า 3,000 ปีมาแล้ว

ภาษาที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives)

ภาษาท้องถิ่นของชาวมัลดีฟส์คือ Dhivehi ตัวหนังสือเป็นแบบอารบิก สำหรับภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ได้อย่างแพร่หลายเนื่องจากมัลดีฟเป็นเมืองท่องเที่ยว ภาษาต่างชาติอื่นๆที่เจ้าหน้าที่โรงแรมทั่วไปสามารถพูดได้ก็มี อาทิ ภาษาเยอรมัน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาลี
หมู่เกาะมัลดีฟส์

สกุลเงินที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives)  

การเดินทางเที่ยวมัลดีฟควรแลกเงินUS Dollar ไม่จำเป็นต้องแลกเงินท้องถิ่น การใช้เงินส่วนใหญ่จะใช้เป็นเงินสด หรือ travellers’ cheques หรือบัตรเครดิตที่นิยมกันอย่างแพร่หลายเช่น American Express, Visa, Master Card, Diners Club, JCB และ Euro Card อย่างไรก้ตามเงินตราของมัลดีฟส์คือ Rufiyaa และLaaree. อัตราแลกเปลี่ยนเงินต่อ1 US Dollar ประมาณ MRf.12.75 ค่าของเงิน 1 Rufiyaa เท่ากับ 100 laarees. ธนบัตรมีอัตรา 5, 10, 20, 50, 100 และ 500 เหรียญแบ่งเป็น MRf.2.00, MRf.1.00, 50 laarees, 20, 10, 5, 2 และ1 laaree. เวลาในมัลดีฟส์ GMT + 5 ชม. เวลาช้ากว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง (ประเทศไทย GMT + 7 ชม.)

เวลาราชการที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives)

วันทำงานของราชการคือวันอาทิตย์ ถึง วันพฤหัสบดีอยู่ระหว่างเวลา 7.30 - 14.30 ส่วนเวลาทำงานเอกชนร้านค้าทั่วไป 9.00 to 17.00 และเปิดวันเสาร์ช่วงเช้าถึงเที่ยง วันหยุดทั่วไปจะเป็นวันศุกร์-วันเสาร์ ระบบไฟฟ้า ที่หมู่เกาะมัลดีฟส์(Maldives) ระบบไฟฟ้าเป็นแบบกระแสสลับ 230-240 Volts -AC ปลั๊กเป็นแบบ 3 ขา (รีสอร์ทส่วนใหญ่มีหัวปลั๊กที่ใช้กับบ้านเราให้ยืม) สิ่งที่ไม่ควรปฎิบัติเมื่ออยู่ในมัลดีฟส์ - ไม่ควรนำทราย หอย ปะการัง ปลาทะเล และสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติออกจากมัลดีฟส์ - การเปลือยกายในที่สาธารณะ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย - ไม่ควรตกปลาในบริเวณที่พัก หากชื่นชอบกีฬาตกปลา ควรติดต่อขอข้อมูลจากทางรีสอร์ท - สุภาพสตรีไม่ควรสวมสายเดี่ยว เกาะอก กางเกงขาสั้นเที่ยวในเมืองมาเล่ เนื่องจากในเมืองเคร่งครัดเรื่องศาสนา ผู้หญิงท้องถิ่นจะแต่งกายมิดชิดมาก
ที่มา  http://www.wonderfulpackage.com/

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

สถานที่ท่องเที่ยวอิตาลี

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยว น่าไปของประเทศอิตาลี

ต่อไปนี้เป็น 10 เมืองของประเทศอิตาลี ที่ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดสวย น่าไปที่สุดของอิตาลี บางเมืองเคยถูกจัดให้เป็นเมืองสวยที่สุดของยุโรปมาแล้ว หากคุณเป็นคนที่รักความคลาสสิคสไตล์ยุโรป แน่นอนว่าคุณต้องรักอิตาลี และต้องชอบเมืองทั้ง 10 อันดับต่อไปนี้แน่นอน

10. จีนัว (Genoa)


Genoa เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
บ่อยครั้งที่เมืองเจนัว (Genoa) ถูกบดบังรัศมีจากเมืองอื่นที่มีชื่อเสียงมากกว่าอย่างกรุงโรม หรือเวนิส แต่ยังไงก็ตาม เจนัว ก็เป็นที่เป็นดังไข่มุกของประเทศอิตาลี เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสุดคลาสสิคของอิตาลี ที่ประดับประดาไปด้วยตึกราบ้านช่องตกแต่งด้วยสีสไตล์พาสเทล เต็มไปด้วยโบสถ์เก่าแก่ดูมีมนต์ขลัง สวนเล็กๆที่ถูกจัดอย่างสวยงาม และบางมุมยังซ่อนซากอารยธรรมเก่าแก่ยุคโรมันอีกด้วย เมืองแห่งนี้เป็นดั่งศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ซึ่งแต่ละมุมถนนจะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมจากยุคอดีตมาสู่ปัจจุบัน

9. ปิซ่า (Pisa)


Pisa เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ตั้งอยู่ในแนวเดียวกับแม่น้ำอาร์โนในทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นทัสกานี (Tuscany) ซึ่งเมืองปิซ่ายังคงมนต์เสน่ห์ของความสวยงามของเมืองยุคกลางไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เมืองปิซ่านอกจากจะมีชื่อเสียงมาจาก หอเอนเมืองปิซ่า อันโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆยังสวยงามน่าสนใจ คุ้มค่าแก่การไปเยี่ยมเยือนเป็นอย่างยิ่ง

8. เนเปิลส์ (Naples)


Naples เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
หนึ่งในเมืองเศรษฐกิจที่วุ่นวายที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศอิตาลี เนเปิลส์เป็นเมืองหลวงของแคว้น กัมปาเนีย ในทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี
เมืองเนเปิลส์เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับ บรรยากาศครึกครื่นแบบสังคมเมืองที่เต็มไปด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่เที่ยวยามราตรี ที่สำคัญอาหารอิตาลีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง Pizza, Spaghetti และParmigiana . . . ที่เมืองนี้คุณภาพของอาหารเป็นที่ขึ้นชื่อมาก เพราะแต่ละร้านเอาใจใส่ในการทำเป็นอย่างดี และมักจะใช้ส่วนประกอบอาหารที่เป็นธรรมชาติ สดใหม่ และ made in italy เท่านั้น

7. เซียนา (Siena)


Siena เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เซียนา สร้างขึ้นใต้ร่มเงาของภูเขาสามลูกใจกลางของแคว้นทัสกานี เมืองนี้ให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปสู่ยุคกลาง ด้วยสิ่งปลูกสร้างต่างๆเป็นแบบดั้งเดิมแถมยังมีประเพณีการแข่งม้าโบราณที่เรียกกันว่า Il Palio (เอล พาลีโอ) ที่เซียนา สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดก็คือ “ศูนย์ประวัติศาสตร์เซียนา” ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีที่น่าไปที่สุดของอิตาลีเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่ศูนย์ประวัติศาสตร์เซียนา มีงานฝีมือ งานศิลปะ สิ่งปลูกสร้าง และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างนั้นสวยงามและดูเก่าแก่มีมนต์ขลังสุดๆ

6. Cinque Terre


Cinque_Terre เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ความหมายของชื่อเมืองนั้นแปลว่า “Five Lands” แปลเป็นไทยกันเอาเองนะครับ ซึ่งเมือง Cinque Terre มี 5 หมู่บ้านด้วยกัน Riomaggiore, Manarola, Vernazza, Monterosso and Corniglia
เมืองนี้ตั้งอยู่ในแคว้นลีกูเรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี หมู่บ้านต่างๆของเมือง Cinque Terre นั้น มีภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นสวยงามที่สุดของอิตาลีเลยก็ว่าได้ เช่นเทือกเขาลาดชันเป็นแนวยาว หรือ ระเบียงลมสวยๆ ที่มีมาตั้งแต่หลายร้อยปีที่แล้ว

5. Amalfi Coast


Amalfi_Coast เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ตั้งอยู่ในแคว้น กัมปาเนีย เมืองชายทะเล Amalfi Coast มีชื่อเสียงเรื่องลือมากในเรื่องความสวยงามของตัวเมืองและภูมิศาสตร์ โดดเด่นมากจนทำให้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระดับท็อปของอิตาลีไปเลย ความยาวของเมืองยาวประมาณ 30 ไมล์ ตามแนวหาด Sorrento Peninsula ซึ่งทำให้เมืองแห่งนี้ติดอันดับเมืองน่าเที่ยวของอิตาลี จากความงดงามของภูมิศาสตร์แสนสวยอย่างที่เห็นในรูป บ้านหลากสี และ ต้นไม้ที่ขึ้นสลับไปกับถนน

4. มิลาน (Milan)


Milan เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ถูกทิ้งระเบิดจนเสียหายไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจากนั้นเมืองมิลานได้ถูกบูรณะเรื่อยมา จนในปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดเมืองหนึ่งของทวีปยุโรป แถมที่มิลานผู้คนจากทั่วโลกยังยกให้เป็นเมืองยักษ์ใหญ่ในวงการแฟชั่นโลก เป็นศูนย์กลางของสินค้าแฟชั่นแบรนด์ดังหลากหลายยี่ห้อ นอกจากนั้นที่มิลานยังมีขุมทรัพย์ทางศิลปะอย่างภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci, โรงละครโอเปร่า La Scala, the Castello Sforzesco และโบสถ์แบบ Gothic ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็อยู่ที่เมืองมิลานด้วย

3. ฟลอเรนซ์ (Florence)


Florence เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เมืองหลวงแห่งแคว้น ทัสกานี “ฟลอเรนซ์” . . . เมืองนี้มักจะถูกขนานนามว่าเป็นพิพัธภัณฑ์ขนาดยักษ์ เพราะว่าความสวยงาม รูปทรง และส่วนประกอบอื่นๆของสิ่งปลูกสร้างของเมืองนี้ดูราวกับเทพนิยาย ซึ่งผลงานศิลปะล้ำค่า พิพิธภัณฑ์ และโบสถ์เก่าแก่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วตัวเมือง ทำให้ยิ่งดูมีมนต์เสน่ห์ทางศิลปวัฒนธรรมแบบฉบับยุโรปมากขึ้นไปอีก

2. เวนิส (Venice)


Venice เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เวนิสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆของประเทศอิตาลี ซึ่งเวนิสมีความโดดเด่นเฉพาะตัวตรงที่ถุกสร้างบนจุดที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเล Adriatic
เวนิสนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี เวนิสนั้นประกอบด้วยเกาะเล็กๆ (จะเรียกว่าเกาะดีไหมนะ) 118 เกาะ ซึ่งมีสะพานรูปทรงสวยงามเชื่อมระหว่างเกาะให้ผู้คนสามารถเดินข้ามฝากไปมาได้ การเดินทางภายในตัวเมืองนั้น ใช้เรือแจวไปตามคานาล (แม่น้ำที่ไหลผ่านตามเกาะต่างๆ) โดยมี Grand Canal ซึ่งเป็นคานาลใหญ่สุดผ่ากลางเมือง ทำให้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง โดยเมืองนี้ส่วนตัวชอบเป็นพิเศษ ด้วยวิวสวยของคานาลและสถาปัตแบบดั้งเดิมของเวนิส จึงทำให้เมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลก

1. กรุงโรม (Rome)


Rome เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เมืองหลวงในอดีตของอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งโรมในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลี กรุงโรมตั้งอยู่ศูนย์กลางของแคว้นลาซีโอ
กรุงโรมนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ เป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมทั้งแบบคลาสสิคและโมเดิร์นได้อย่างลงตัว และเป็นที่รู้กันว่าที่กรุงโรมมีสถาปัตยกรรมโบราณของกรุงโรมอยู่มากมาย แถมกรุง Vatican ก็ยังอยู่ในโรมอีกด้วย กรุงโรมนั้นมีอายุยืนยาวมากกว่า 2,500 ปี ในฐานะของเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรม การเมือง และ ศาสนา มาหลายยุคหลายสมัย

ที่มา   http://amazingthaisea.com/

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่ต้องไปเยือน

อยู่เมืองไทยในช่วงนี้มันรู้สึกร้อนแสนร้อน หลายคนคงกำลังวางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวหลบร้อนกันหลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกนั้นต้องเป็นดินแดนอาทิตย์อุทัย ต้นกำเนิดดอกซากุระอย่าง"ประเทศญี่ปุ่น" แน่นอน เพราะด้วยอากาศที่เย็นสบาย รวมทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างจากบ้านเรา ทำให้ญี่ปุ่นเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่หลายคนคิดอยากจะเดินทางไปเยือน วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยมาแนะนำ 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรียกว่าถ้าไปแล้วไม่ได้เที่ยวถือว่าไม่ถึงจ้า ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวจะมีอะไรบ้างนั้น ตามเราเลยจ้า...
  1. พระราชวังอิมพีเรียล




           พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน

           ซึ่งภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ


           2. โตเกียว ทาวเวอร์


           โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย

            3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ


            ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง


             4. ภูเขาฟูจิ

              ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko)หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
               นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้
               ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ภูเขาฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปปีน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ yokosojapan.org


               5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ


               เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่งท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม


                6. โอซาก้า


                เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan
 7. ปราสาทฮิเมะจิ


               ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด

               ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น
  8. วัดโทไดจิ


               วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)


               9. ฮอกไกโด


               ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม
   10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ



               เมืองฟุระโนะ 
ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี

              เรียกได้ว่า 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรานำมาฝากนี้ จะเป็นทางเลือกที่ดีในการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสักที่เลยจ้า
ที่มา http://travel.kapook.com/view62960.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

10 สถานที่ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนปารีส

นับเป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดเมืองหนึ่ง สำหรับกรุง "ปารีส" ที่หากใครได้ไปเยือนแล้วก็ต้องตกหลุมรักในบรรยากาศอันสุดแสนจะโรแมนติกของเมือง ๆ นี้ จนอยากจะกลายเป็นคนเมืองนี้ขึ้นมาเลยทีเดียว ...

            แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นักท่องเที่ยวที่มาเยือนกรุงปารีสส่วนใหญ่ต่างก็มีเวลาที่จำกัด ขณะที่เมือง ๆ นี้ มีสถานที่ที่น่าสนใจนับไม่ถ้วน จนทำให้การเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวทุกที่ในปารีสกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก หากมีเวลาเที่ยวเพียงไม่กี่วัน แต่ไม่ว่าจะมีเวลาเที่ยวปารีสมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่คุณไม่ควรพลาดเลยก็คือการไปเยือน 10 สถานที่ต่อไปนี้ ที่ทำให้คุณได้สัมผัสกับความเป็น "ปารีส" อย่างแท้จริง


           
 1. การนั่งรถทัวร์ชมกรุง (Double Decker Bus Tour)            การนั่งรถทัวร์ชมกรุงเป็นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวที่มาปารีสเป็นครั้งแรก เพราะที่นี่จะมีรถทัวร์ที่เรียกกันว่า L'Open ทัวร์ ซึ่งเป็นรถทัวร์ที่มีดาดฟ้าอยู่ข้างบน เพื่อให้คุณได้ชมเมืองปารีสอย่างไม่มีอะไรบดบังสายตาเลย

            นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋ววันเดียวหรือสองวันก็ได้ สำหรับการนั่งรถชมเมืองใน 4 เส้นทาง โดยทันทีที่คุณซื้อตั๋วแล้ว ทางรถทัวร์จะมีชุดหูฟังให้คุณ เพื่อใช้ในการเสียบต่อกับแจ็คที่อยู่บริเวณด้านข้างของเบาะที่นั่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถฟังบรรยายไปตลอดการเดินทาง โดยเลือกฟังได้ถึง 8 ภาษา คือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอิตาลี ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษารัวเซีย และภาษาจีน
                                

นั่งรถชมกรุง

            สำหรับเคล็ดลับในการนั่งรถทัวร์ชมกรุงปารีสนั้น แนะนำให้คุณลองใช้บริการในวันธรรมดาหรือเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์จะดีที่สุด เพราะหากใช้บริการในช่วงเวลาอื่นคนจะแน่นมาก และคุณอาจจะได้ยืนในห้องยืนที่จัดไว้รองรับเวลาที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก นอกจากนี้ หากคุณใช้บริการช่วงคนน้อย คุณสามารถที่จะเปลี่ยนแจ็กหูฟังของคุณได้ในกรณีที่ใช้หูฟังต่อกับแจ็กบางตัวไม่ได้อีกด้วย

            

            2. ชมทิวทัศน์จากด้านบนของหอไอเฟล (Eiffel Tower)
            หอไอเฟลไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสด้วย ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ได้ไปเยือนหอไอเฟล ถือว่าไปไม่ถึงฝรั่งเศสเลยทีเดียว ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวกว่า 60 ล้านคน ไปเยือนหอไอเฟล โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมทัศนียภาพรอบกรุงปารีสได้ เพียงแค่ซื้อบัตรที่บูธซึ่งอยู่บริเวณฐานของหอไอเฟล แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่าง ๆ ของหอไอเฟล
                         

หอไอเฟล

            และด้วยความที่หอไอเฟลมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก (โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน) แนะนำให้คุณไปเที่ยวชมช่วงเช้าหรือหลัง 6 โมงเย็น หรือในวันธรรมดา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน 

            3. ล่องเรือในแม่น้ำเซน  ชมพระอาทิตย์ตกดิน (Sunset River Cruise on the Seine)            การล่องเรือในยามใกล้ค่ำเป็นทางเลือกที่ดีมาก หากคุณอยากจะชมทิวทัศน์ยามราตรีของกรุงปารีส โดยเรือจะล่องจากหอไอเฟล ผ่านสถานที่ที่น่าสนใจสองฝั่งแม่น้ำเซน รวมถึงผ่านโบสถ์นอทเทอร์ดัมด้วย 


แม่น้ำเซน


            สำหรับเคล็ดลับของการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินนั้น แนะนำให้คุณไปก่อนเวลาขายตั๋ว เพื่อที่จะได้เลือกที่นั่งหลังก่อนนักท่องเที่ยวคนอื่น ซึ่งที่นั่งด้านหลังสุดนี้จะเป็นบริเวณที่ไม่มีหลังคา ไม่ล้อมด้วยกระจก และบริเวณนี้คือจุดที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสวย ๆ ของเมืองปารีสยามพระอาทิตย์ตก


            4. โบสถ์นอทเทอร์ดัม (Notre Dame Cathedral)
            โบสถ์นอทเทอร์ดัมเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของกรุงปารีส เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่คู่กับเมืองปารีสมาช้านาน และมีชื่อเสียงด้านความใหญ่โตหรูหรา มีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก โดยการเที่ยวชมนั้นนักท่องเที่ยวจะได้เห็นความอลังการของโบสถ์นอทเทอร์ดัม อีกทั้งยังต้องขึ้นบันได 387 ขั้นเพื่อไปถึงยอดของโบสถ์
                      

โบสถ์นอทเทอร์ดัม


            ส่วนเคล็ดลับในการชมโบสถ์นอทเทอร์ดัมนั้น แนะนำให้คุณไปเยี่ยมชมช่วงเช้า เพราะดวงอาทิตย์จะส่องกระทบกับซุ้มประตูทางทิศตะวันตกของโบสถ์ มองดูแล้วเหมือนเป็นประกายเพชรที่ระยิบระยับจับตา เพิ่มความหรูหราให้กับโบสถ์ได้เยอะเลยทีเดียว


            5. โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ (Sainte Chapelle)
            ถัดจากโบสถ์นอทเทอร์ดัม มีโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ ซึ่งเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวปารีส สร้างในสไตล์กอธิค มีการประดัประดาด้วยกระจกสวยงามมากมาย จนนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมต่างยอมรับว่ากระจกที่ใช้ตกแต่งโบสถ์มีความงดงามที่สุด ยิ่งเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามา ยิ่งทำให้มองเห็นลายกระจกชัดเจนและสวยงามมาก

โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์
                      

โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์


            สำหรับคำแนะนำในการเยี่ยมชม ควรเยี่ยมชมช่วงเช้าดีที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวไม่เยอะ หากไปช่วงอื่นต้องรอคิวเยี่ยมชม เพราะโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์เป็นโบสถ์ขนาดเล็กมาก


            6. ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน (Champs Elysees & Arc de Triomphe)

            ถนนฌ็องเซลิเซ่ เป็นถนนที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส นักท่องเที่ยวสามารถเดินตามถนนสายนี้ไปสู่ประตูชัยนโปเลียน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส และที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมชั้นบนของประตูชัยได้ โดยเดินขั้นบันได 284 ขั้น หรือใช้ลิฟต์
                       


ถนนฌ็องเซลิเซ่ และประตูชัยนโปเลียน


            7.  เลแซงวาลิด (Les Invalides (Napoleon's Tomb))
            เลแซงวาลิด เป็นอาคารที่ฝังพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ซึ่งมีศพนายพลพระสหายของพระเจ้านโปเลียนอีกหลายคนฝังอยู่ด้วย ตัวอาคารมีโดมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโดมที่สวยงามที่สุดในกรุงปารีส นอกจากนี้ ยังมีศิลปะมากมายจัดแสดงอยู่ในนั้นอีกด้วย


เลแซงวาลิด


            8. พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Musee d'Orsay)
            พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะหลายอย่างเข้าด้วยกัน อันได้แก่ ศิลปะด้านการออกแบบสิ่งทอ ศิลปะทางประวัติศาสตร์ ภาพถ่าย ประติมากรรม ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ของปารีสออกมาได้เด่นชัดเลยทีเดียว
พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์
พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์


            สำหรับเคล็ดลับในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ ควรใช้เวลามากหน่อยเพื่อศึกษาศิลปะต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ทั้ง 3 ชั้นของพิพิธภัณฑ์ และที่ไม่ควรพลาดคือ ร้านอาหารที่มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเซนได้อย่างเต็ม ๆ ตา



            9. พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (The Louvre)
            เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังหลวงมาก่อน จัดแสดงศิลปะที่มีคุณค่าระดับโลกมากมาย เช่น ภาพเขียนโมนาลิซ่า ผลงานของต่าง ๆ ของเลโอนาร์โด ดาวินซีแลอเล็กซานดรอส นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากที่สุดในกรุงปารีส ดังนั้น คุณจึงไม่ควรพลาดในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้
                    


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์


            10. มงต์มาร์ทร์ (Montmarte & Sacre Couer Basilica)

            มงต์มาร์ทร์เป็นหุบเขาสูง 130 เมตร ทางเหนือของปารีสและเป็นจุดที่สูงที่สุดของเมือง บนเขาเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซาเครเกอร์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่อุทิศแด่ชาวฝรั่งเศส ที่เสียชีวิตจากสงครามกับปรัสเซีย ออกแบบตามแบบศิลปะสไตล์โรมัน - ไบเซนไทน์ ซึ่งมีความอลังการและงดงามมาก
                         


มงต์มาร์ทร์

            และนี่ก็คือ 10 สถานที่ท่องเที่ยว ที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมอันเป็นมรดกของชาวปารีส หากคุณเป็นอีกคนที่มีเวลาจำกัดในการท่องเที่ยว ลองวางแผนการเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ดู เชื่อเถอะว่า หากคุณได้ไปเยือนแล้ว คุณจะได้ชื่อว่าเป็น "ผู้มาเยือน" ปารีสอย่างแท้จริง
 แหล่งที่มา http://travel.kapook.com/view11359.html

Travelling Australia สถานที่ท่องเที่ยวฮอตในซิดนีย์



ย่านเดอะร็อคส์ (The Rocks)           จุดแรกในซิดนีย์ที่ควรไปเยือนคือ ย่านเดอะร็อคส์ ซึ่งเป็นย่านชุมชนแห่งแรกที่ชาวยุโรปมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในออสเตรเลีย เป็นย่านเมืองเก่าแก่ที่สุด จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย บริเวณเดอะร็อคส์ยังมีคุกที่ใคมขังนักโทษในสมัยนั้นกิจกรรมที่นาสนใจที่เดอะร็อคส์คือการเที่ยวชมจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ 31แห่งในย่านเดอะร็อคส์นี้ ซึ่งแนะนำโดยThe Rocks self -Guide Tour เป็นการท่องเที่ยวแบบตามรอยประวัติศาสตร์ 
 โรงอุปรากรซิดนีย์ (Sydney Opera House)           ตั้งอยู่ที่ Bennelong Point ด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์แปลกตา โรงอุปรากรซิดนีย์หรือซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์ สร้างด้วยเงินจากการขายล็อตเตอรี่มูลค่ามากกว่า100 ล้านเหรียญ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้อ่าวซิดนีย์เป็นอ่าวที่สวยที่สุดในโลกปัจจุบันโอเปร่าเฮาส์เป็นแลนด์มาร์กของออสเตรเลียจุดชมวิวที่สวยที่สุด และเหมาะสำหรับการถ่ายภาพซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์ คือถ่ายรูปจากเรือที่พาชมอ่าว แต่ถ้าต้องการจะไปทัวร์ภายในอาการ ก็สามารถทำได้ในวันที่ไม่มีการแสดงโดยมีทัวร์นำชมสถานที่ทุกครึ่งชั่วโมงระหว่างเวลา 9.00-16.00 น.

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Museum of Contemporary Art) ตั้งอยู่บนถนนจอร์จ ภายในมีงานศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจแสดงอยู่จำนวนมาก ทั้งผลงานของศิลปินออสเตรเลียและศิลปินจากทั่วทุกมุมโลก


 สวนพฤกษศาสตร์ (Royal Botanic Gardens)  สวนสวยขนาดใหญ่นี้ อยู่ติดกับโอเปร่าเฮาส์ เลาะไปตามริมอ่าวซิดนีย์เป็นสวนที่มีพันธ์ไม้นานาชนิดในพื้นที่กว่า 30 เฮกตาร์ เป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่นชาวซิดนีย์นิยมไปเดินเล่นหรือไปอกกำลังกายกันโบตานิกการ์เด้นนี้เป็นสวนเก่าแก่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1816
พิพิธภัณฑ์ศิลปะนิวเซาท์เวลส์ (Art Gallery of New South Wales) อยู่ใกล้กับสวนพฤกษศาสตร์ เป็นที่แสดงงานศิลปะเอเซียศิลปะอะบอริจิน และศิลปะร่วมสมัย


ซิตี้เซ็นเตอร์ (City Centre)           ใจกลางเมืองซิดนีย์ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจการค้า แหล่งช้อปปิ้งอยู่ทางทิศใต้ของเซอร์คูลาร์คีย์ ไปจนจรดสถานีรถไฟ Central stationที่มี่นี่ก็จะเต็มไปด้วยย่านการค้าที่สำคัญคือMartin Place ซึ่งจัดให้ เป็นถนนคนเดินมีร้านค้าขายของทันสมัยเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน มีห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เดวิด โจนส์

ดาร์ลิงฮาร์เบอร์ (Darling Harbour) อยู่ทางตะวันตกของอ่าวซิดนีย์ ย่านนี้เป็นแหล่งบันเทิงและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของซิดนีย์ เพราะเป็นที่ตั้งของSydney Exhibition Centre กับ Sydney aquarium แลพิพิธภัณฑ์เรือ


ไชน่าทาวน์ (China Town)          ถิ่นนี้เป็นที่รวมอาหารจีน และอาหารเอเชียนานาชนิด ซึ่งสมารถหากินได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นขนมจีบ ซาลาเปาหมูแดง เป็ดย่าง ไปจนถึงอาหารภัตตาคารระดับอาหารฮ่องเต้ นอกจากนี้ยังมีตลาดสดขายผักผลไม้และร้านขายของที่ระลึก ร้านสินค้าปลอดภาษี สินค้าที่ทำในฮ่องกงหรือจีนในราคาย่อมเยามีมากมาย


แหล่งที่มา  http://www.abacstudyabroad.com/?ContentID=ContentID-100603151824331

กรุงโซล

กรุงโซล
เมื่อพูดถึงประเทศเกาหลีใต้ จะนึกถึงอะไรกันบ้างครับ ติ๊กต่อก ๆ ...คิดถึงเหล่าบรรดาศิลปินนักแสดง อาหาร และวัฒนธรรมต่าง ๆ กันใช่ไหมล่ะ ถ้าใช่ ก็ถือว่าตอบถูกครับ แต่ยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะสิ่งที่เราจะนำเสนอนี้ ไม่ใช่เรื่องของที่กล่าวมาแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของประเทศเกาหลีใต้ต่างหาก ใช่แล้วครับ สิ่งที่จะมานำเสนอในวันนี้ก็คือสถานที่เที่ยวฮอตฮิตของกรุงโซลเมืองหลวงของแดนกิมจินั่นเอง

          เมืองหลวงแห่งนี้มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของเอเชียเราอยู่พอสมควร อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วย แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าในกรุงโซลนั้น มีสถานที่อันฮอตฮิตที่หากคุณได้มีโอกาสเดินทางไปที่นั่นแล้วล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่า "ห้ามพลาดนะจ๊ะ" ไปดูกันว่าทั้ง 6 สถานที่ซึ่งทางเว็บไซต์ Relax.com.sg ได้แนะนำไว้นั้น จะมีที่ใดบ้างและจะฮอตฮิตขนาดไหน ตามไปดูกันเลย !!

1. หมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊ก (Bukchon Hanok Village)

          หมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊กแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพระราชวังเคียงบ๊อคกุง ( Gyeongbokgung Palace) และพระราชวังชางด๊อกกุง (Changdeokgung Palace) ในอดีตเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ๆ เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าบรรดาขุนนางระดับสูง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน ซึ่งคนพื้นถิ่นจะเรียกหมู่บ้านแห่งนี้แบบง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า "หมู่บ้านบุกชอน" ซึ่งในภาษาเกาหลีจะหมายถึงหมู่บ้านทางเหนือนั่นเอง

2. ย่านวัฒนธรรมอินซา-ดง (Insa-dong Culture District)

          เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เดินจากหมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊กลงมาทางใต้ประมาณ 10 - 15 นาที คุณก็จะเจอกับย่านวัฒนธรรมอินซา-ดง ที่มีทั้งห้องแสดงงานศิลปะ ร้านขายเครื่องแกะสลักแบบพื้นเมือง ร้านขายวัตถุโบราณ ภัตตาคารและร้านน้ำชาตามแบบเกาหลีดั้งเดิม ซึ่งนับเป็นสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมเกาหลีแบบดั้งเดิมแท้ ๆ นอกจากนี้ ที่นี้ยังเป็นแหล่งวัตถุโบราณ ทั้งภาพเขียนเก่าแก่ งานเครื่องปั้นดินเผา งานกระดาษ และเครื่องเรือนเก่าอีกด้วย


3. พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

          พระราชวังแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองในสมัยราชวงศ์โชซอน  ในเขตพระราชวัง ประกอบไปด้วยพระที่นั่งต่าง ๆ มากมาย เช่น ห้องประทับของกษัตริย์และพระราชินี ห้องทรงพระอักษร ท้องพระโรง สวนกลางแจ้ง นอกจากนี้ยังมีพระตำหนักเคียวฮเวรู ที่มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้น พระตำหนักถูกสร้างให้ยื่นออกไปกลางสระน้ำ เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงพระราชทานนสมัยนั้น


4. มยองดง (Myeongdong)

          ถ้าบ้านเรามีสยามสแควร์ เป็นแหล่งช้อปปิ้งของเหล่าวัยทีนทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอางและอื่น ๆ ที่กรุงโซลก็มีย่าน มยองดง หรือเมียงดง เป็นแหล่งช้อปปิ้งเช่นเดียวกัน เพราะที่นี้ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของสินค้าแบรนด์เนมมากมายหลากหลายยี่ห้อ และถ้าเดิน ๆ ช้อปปิ้งจนเริ่มรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะที่ก็เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยร้านอาหารชั้นเลิศมากมายเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่า "ช้อป", "ชิม", "เที่ยว" มีอยู่ที่นี่ครบ!


5. ตลาดนัมแดมุน (Namdaemun Market)

          เปลี่ยนบรรยากาศการช้อปปิ้งของหรู ๆ จากย่านเมียงดง มาช้อปปิ้งที่สำเพ็งบ้านเรา เอ๊ย! ล้อเล่นครับ เปลี่ยนมาเป็นตลาดนัมแดมุนต่างหาก เพราะตลาดนัมแดมุนถือเป็นแหล่งค้าขายสินค้าต่าง ๆ ในราคาถูกและซื้อ - ขายในราคาส่งกันจำนวนมาก ที่นี่มีร้านค้ามากมายให้คุณได้เลือกจับจ่ายซื้อของมากหลายพันร้านค้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอเตือนไว้สักนิดว่าหากใครที่ชอบต่อราคาสินค้า ก็ขอให้ระมัดระวังหรือไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ ไม่เคยปรานีใครง่าย ๆ เหมือนกันนะจ๊ะ...จะบอกให้


6. รถไฟใต้ดิน (Subway)

          ไหน ๆ ก็ไปถึงกรุงโซลกันแล้ว คุณก็ไม่ควรพลาดที่จะสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนด้วยการขึ้นรถไฟใต้ดินในกรุงโซลนั่นเอง การใช้บริการรถไฟใต้ดินในกรุงโซลนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นและจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้มาก แต่อย่างไรก็ดี หากจะใช้บริการรถไฟใต้ดินแล้วล่ะก็ กรุณาพกแผนที่และแผนผังของสถานีต่าง ๆ ติดตัวเอาไว้ด้วยนะครับ เพราะที่กรุงโซลมีสถานีรถไฟใต้ดินเป็นร้อย ๆ สถานีเลยทีเดียว แถมยังแบ่งเส้นทางอีกตั้ง 8 สาย และเชื่อมต่อสถานีไปที่ต่าง ๆ อีกมากมาย ฉะนั้นแล้วอย่าได้ทำแผนที่หายเป็นอันขาดล่ะ

          เป็นอย่างไรกันบ้าง กับทั้ง 6 สถานที่อันฮอตฮิตในกรุงโซลที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อได้ว่าอย่างน้อย ๆ ทั้ง 6 สถานที่ที่แนะนำไปนี้ก็จะเป็นไกด์นำทางในการท่องเที่ยวให้กับเพื่อน ๆ กันได้บ้าง ว่าแล้วก็ขอตัวไปเก็บกระเป๋าเดินทางไปกรุงโซลก่อนละกัน แล้วจะเที่ยวเผื่อทุก ๆ คนเลยครับผม !!


แหล่งที่มา http://travel.kapook.com/view30733.html